แรงบันดาลใจจาก :แชด ดิกเคอร์สัน รวยด้วยวินเทจ

ที่มาภาพ:www.laughingsquid.com
 





 
จากแนวโน้มความคลั่งไคล้ข้าวของมือสองที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดตลาดการค้าสินค้าประเภทนี้มากมาย ทั้งแบบเปิดหน้าร้านให้จับต้องได้โดยตรง และเปิดพื้นที่ขายสินค้าผ่านทางเว็บไซค์ หนึ่งในเว็บไซค์ที่มีผู้ซื้อจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ เอ็ทซี่ (Etsy)
            นอกจานี้ ข่าวการเปลี่ยนตัวผู้บริหารบริษัทที่ดูแลเว็บไซค์นี้ยังทำให้ทุกสายตาจับต้องไปที่ ผู้บริหารหน้าใหม่ชาวอเมริกันอย่าง แชด ดิกเคอร์สัน (Chad Dickerson) ด้วย ว่าเขาจะสามารถนำพาบริษัทไปได้ไกลแค่ไหน
            ก่อนที่เขาจะรับตำแหน่งซีอีโอ ของเอ็ทซี่ เขาเคยร่วมงานกับองค์กรนี้ในฐานะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) มาตั้งแต่ คศ 2008 แม้จะเป็นการเข้ารับตำแหน่งในช่วงขาขึ้นของบริษัทแต่หากย้อนดูประวัติการทำงานของดิกเคอร์สันแล้วก็เรียกได้ว่าโชกโซน
            แน่นนอนว่าประวัติการศึกษาสาขาวรรณกรรมอักฤษไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เขากว่ามาสู่แถวหน้าในการควบคุมงานด้านเทคโนโลยสารสนเทศ (IT) ได้ แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของการก้าวเข้ามาสู่สายงานไอทีว่า หลังเรียนจบระดับปริญญาตรี เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ (Computer Code) และได้ทำงานเขียนข่าวลงเว็บไซค์เป็นงานแรก
            และตำแหน่งงานของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่หนีไปจาก การเขียน และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เลยฝีมือการเขียนของดิกเคอร์สันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกไอทีอย่างมาก ซึ่งนำพาชีวิตเขาไปสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง นั่นคือเขาได้ทำงานในตำแหน่ง ผู้บริหารและวิศวกรในองค์กรต่างๆในระดับชั้นนำเช่าน ยาฮู (Yahoo), เว็บไซค์ซาลอน www.salon.com,InfoWorld Media Group และ CNN ก่อนที่จะมาลงท้ายที่ เอ็ทซี่ (www.Etsy.com) ซึ่งเป็นเว็บไซค์ที่มีสินค้าแนววินเทจ (Vintage) ซึ่งก็คือสินค้าที่เคยไปที่นิยมกันในยุคก่อนๆ และถูกลับมาปลุกกระแสนิยมอีกครั้งมาให้เลือกมากมาย
            ตั้งแต่เริ่มงานในต่ำแหน่งใหม่นี้ ดิกเคอร์สัน กล่าวว่า แม้จะต้องปรับแนวการทำงานอยู่มาก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยแปลี่ยนคือการเป็นผู่ริเริ่มที่ดีและทำงานเชิงธุรกิจ กล่าวคือ จะทำอะไรก็ตามต้องมีกำไร
            เป็นไปได้ว่า แนวการทำงานอย่างนักธุรกิจมืออาชีพขงเขาจะได้ผลดี เพราะทางบริษัทได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายประเภทมูลค่ากว่า 525 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาช่วยขายสินค้า และจัดงบลงทุนมากกว่า 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเจาะตลาดของเก่าทั่วโลก
 
ที่มา:M2F

ไม่มีความคิดเห็น