แทมมี่ ดักเวิร์ธ หญิงลูกครึ่ง ไทย-อเมริกา ว่าที่ผู้ชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ ?

แทมมี่ ดักเวิร์ธ หญิงลูกครึ่ง ไทย-อเมริกา ว่าที่ผู้ชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ ?



จากเด็กที่บ่อยครั้งที่เธอและน้องชายต้องอด และจะได้กินก็ต่อเมื่อพ่อเก็บเศษเหรียญในตู้โทรศัพท์ที่คนลืมทิ้งไว้จนพอซื้ออาหารเท่านั้น และต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างจากการรบที่อิรัก



แทมมี่ ดักเวิร์ธ ทหารผ่านศึกลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เป็นหนึ่งในนักการเมืองผู้โดดเด่นเป็นที่จับตามองมากที่สุดของสหรัฐฯ ในเวลานี้ โดยนอกจากจะยืนหยัดทำหน้าที่วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์สังกัดพรรคเดโมแครตอย่างเข้มแข็งแล้ว เธอกำลังจะได้สร้างประวัติศาสตร์โดยเป็นวุฒิสมาชิกหญิงคนแรกของประเทศที่คลอดบุตรขณะดำรงตำแหน่งอยู่ด้วย
กว่าจะมาถึงวันแห่งความสำเร็จในวันนี้ เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ นับตั้งแต่ชีวิตวัยเยาว์ที่ต้องเดินทางไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะกลับมาเผชิญความยากลำบากในสหรัฐฯ ไปจนถึงสงครามอิรักที่ทำให้ต้องกลายเป็นผู้พิการสูญเสียขาทั้งสองข้าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หยุดยั้งเธอจากเวทีการเมืองที่ใฝ่ฝันและมีใจรักมานาน
เด็กน้อยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แทมมี่ ดักเวิร์ธ เกิดที่กรุงเทพมหานคร พ่อของเธอคือนายแฟรงก์ ดักเวิร์ธ นาวิกโยธินอเมริกันซึ่งเคยออกรบในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเวียดนามมาแล้ว
นายดักเวิร์ธได้พบกับนางสาวละมัย สมพรไพลิน หญิงไทยเชื้อสายจีนที่ขายของในร้านชำระหว่างช่วงสงครามเวียดนาม และได้ตกลงสร้างครอบครัวด้วยกัน ตัวเขาเองไม่ต้องการเดินทางกลับสหรัฐฯ ซึ่งในขณะนั้นขบวนการต่อต้านกองทัพและสงครามเวียดนามกำลังมีอิทธิพลอย่างสูง
เมื่อหนูน้อยแทมมี่เกิดมา พ่อของเธอได้ปลดประจำการและย้ายไปทำงานให้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ทำให้ต้องเดินทางไปในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เด็กหญิงแทมมี่ซึ่งพูดได้แต่ภาษาไทยจนอายุ 8 ขวบ จึงได้พบเห็นการสู้รบเป็นครั้งแรกขณะที่อยู่ในกรุงพนมเปญของกัมพูชา เธอจำได้ว่าตกใจกลัวระเบิดที่กองกำลังเขมรแดงระดมยิงเข้ามา จนพ่อแม่ต้องบอกให้คิดเสียว่าเป็นดอกไม้ไฟจะได้ไม่รู้สึกกลัว
เด็กหญิงแทมมี่ยังได้ติดตามครอบครัวไปยังสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ที่กรุงจาการ์ตาด้วย ชีวิตวัยเยาว์ของทั้งสองมีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมาก เพราะหลังจากที่พ่อของแทมมี่ต้องออกจากงานในภูมิภาคเอเชีย เขาได้ตัดสินใจกลับไปลงหลักปักฐานที่ฮาวายเหมือนกับครอบครัวโอบามา
เผชิญชีวิตยากจนในช่วงวัยรุ่น
แม้การย้ายกลับมาตั้งถิ่นฐานในรัฐที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างฮาวาย จะทำให้แทมมี่ปรับตัวเข้ากับชีวิตในสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น แต่การที่พ่อของเธอไม่สามารถหางานทำได้ ทำให้ครอบครัวต้องพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐเช่นเงินช่วยเหลือซื้ออาหาร
บ่อยครั้งที่เธอและน้องชายต้องอด และจะได้กินก็ต่อเมื่อพ่อเก็บเศษเหรียญในตู้โทรศัพท์ที่คนลืมทิ้งไว้จนพอซื้ออาหารเท่านั้น ความยากจนทำให้เธอต้องทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน และเป็นคนเดียวในครอบครัวที่มีงานทำในขณะนั้น
ในที่สุดพ่อของเธอก็ได้งานที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่รายได้ที่ไม่เพียงพอทำให้แทมมี่ต้องขอทุนและเงินกู้เพื่อการศึกษามาโดยตลอดจนเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จการศึกษาเธอมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการทูต แต่เพื่อนคนหนึ่งโน้มน้าวให้เธอเริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ เสียก่อน
แทมมี่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะตกหลุมรักการเป็นทหาร ซึ่งเธอบอกไว้ในเว็บไซต์ Politico เมื่อปี 2015 ว่า "กองทัพช่วยให้คุณมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ได้พบกับมิตรภาพชนิดที่แม้แต่เวลาย่ำแย่ ทุกคนก็ร่วมเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ไปด้วยกัน"
เธอยังได้พบกับนายไบรอัน โบวล์สบีย์ สามีในอนาคตระหว่างรับใช้ชาติอีกด้วย "เขาพูดแสดงความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในกองทัพ ฉันว่ามันฟังดูแย่ แต่ตอนหลังเขาก็เข้ามาขอโทษเป็นอย่างดี แถมยังช่วยฉันทำความสะอาดปืนเอ็ม-16 ด้วย" ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1993
สูญเสียขาทั้งสองข้าง
แทมมี่ ดักเวิร์ธ อาสาไปรบในสงครามอิรักขณะที่มียศร้อยเอก หลังจากหน่วยที่เธอเคยควบคุมอยู่ถูกเรียกเข้าประจำการในครั้งนั้น อันที่จริงเธอไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามในอิรัก และโดยหน้าที่แล้วไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว แต่เธอก็อาสาไปเพราะไม่ต้องการให้เพื่อนเผชิญอันตรายอย่างโดดเดี่ยว
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2004 แทมมี่ซึ่งทำหน้าที่นักบินประจำเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก ได้รับคำสั่งให้ไปรับตัวทหารอเมริกันที่เมืองทาจีทางตอนเหนือของกรุงแบกแดด แต่เมื่อไปถึงจุดหมาย ทหารกลุ่มดังกล่าวได้ออกไปจากพื้นที่แล้ว ทำให้เธอและนักบินอีกคนที่ไปด้วยกันตัดสินใจบินกลับฐานที่เมืองบาลัด ในระหว่างทางกลับนั้นเอง เฮลิคอปเตอร์ของเธอถูกยิงด้วยจรวดอาร์พีจี
"พอได้ยินเสียงเครื่องยิงจรวด ฉันรีบโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อรายงานพิกัดจีพีเอสที่ถูกยิงทางวิทยุทันที แต่ทันใดนั้นมีลูกไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นมาที่ตักของฉัน ทำให้ส่วนหลังของแขนขวากระจุยไปเกือบหมด ขาขวาของฉันเหมือนระเหยหายไปในอากาศทันที ส่วนขาซ้ายห้อยร่องแร่งอยู่บนอุปกรณ์การบินข้าง ๆ" แทมมี่เล่า
"ฉันวูบหมดสติและฟื้นขึ้นมาเป็นระยะ ขณะที่ฟื้นก็พยายามเหยียบคันบังคับเพื่อควบคุมเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเหยียบคันบังคับไม่ได้ นั่นเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองเสียขาไปแล้ว"
ในที่สุดเพื่อนนักบินอีกคนหนึ่งนำเครื่องลงจอดยังฐานที่มั่นของกองทัพสหรัฐฯ ได้สำเร็จ เขาคิดว่าเธอคงตายแล้ว แต่หน่วยแพทย์สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ เธอฟื้นขึ้นมาหลังจากนั้น 11 วัน และต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกหลายครั้ง รวมทั้งต้องพักฟื้นนานถึง 13 เดือน ในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่กรุงวอชิงตัน
ชีวิตในเส้นทางการเมือง
ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ แทมมี่ได้รับเชิญจากวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตให้เข้าร่วมรับฟังถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อสภาคองเกรส ซึ่งทำให้ความสนใจในเส้นทางการเมืองของเธอเริ่มขึ้น วุฒิสมาชิกคนดังกล่าวยังได้เสนอให้เธอลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย



อย่างไรก็ตาม เธอพ่ายแพ้ในการลงแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2006 ซึ่งนับเป็นเวลาเพียง 2 ปีหลังจากประสบเหตุถูกยิงโจมตีในอิรักเท่านั้น "ฉันกลับบ้านไปนั่งร้องไห้ในอ่างอาบน้ำอยู่ 3 วัน" แทมมี่กล่าว
หลังพ่ายศึกเลือกตั้ง เธอหันไปทำงานจัดตั้งสายด่วนช่วยเหลือทหารผ่านศึก และได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโอบามาให้เป็นที่ปรึกษาด้านกิจการทหารผ่านศึกของรัฐบาล
ในปี 2012 เธอลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐอิลลินอยส์อีกครั้ง และสามารถคว้าชัยชนะเหนือนายโจ วอลช์ นักการเมืองผู้อื้อฉาวในเรื่องไม่ยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรและกล่าวโจมตีบรรดาทหารผ่านศึกไปได้ ด้วยคะแนนเสียง 54.7% เธอดำรงตำแหน่ง ส.ส. เขตนี้ได้ถึงสองสมัย ก่อนจะก้าวลงศึกเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในปี 2016 ซึ่งเธอคว้าชัยชนะมาครองได้อีกเช่นกัน
ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ?
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของแทมมี่ได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังเธอออกมากล่าวตอบโต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลงข้อความทางทวิตเตอร์กล่าวหาว่าพรรคเดโมแครต "ยึดกองทัพเป็นตัวประกัน" ในกรณีที่ไม่ยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกองทัพสหรัฐฯ โดยตรง
แทมมี่ระบุว่า เธอจะไม่ยอมรับฟังคำเทศนาสั่งสอนเรื่องกองทัพต้องการอะไร "จากคนที่หนีทหารถึง 5 ครั้ง" ทั้งยังตำหนินายทรัมป์เรื่องการทำให้กำลังพลและประชาชนทั้งประเทศต้องเสี่ยงอันตราย จากการพยายามก่อความขัดแย้งและสงครามกับเกาหลีเหนือด้วย
หลังเหตุปะทะคารมทางการเมืองดังกล่าว คะแนนนิยมในตัวแทมมี่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก และมีบางฝ่ายถึงกับมองว่า เธอน่าจะเป็นตัวแทนที่เหมาะสมของพรรคเดโมแครต ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 นี้
แม้เธอจะยังไม่แสดงความสนใจในเรื่องดังกล่าว แต่การที่เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงเก่งและผู้พิการที่เข้มแข็ง ทำให้คาดหมายได้ว่าเธอน่าจะกวาดคะแนนเสียงจากชาวอเมริกันหลายภาคส่วนมาได้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามมีเสียงวิจารณ์ติดตามมาด้วยว่า ผลงานของเธอที่ผ่านมาทั้งในด้านการช่วยเหลือทหารผ่านศึกและการเป็นสมาชิกรัฐสภายังไม่สู้โดดเด่นหรือประสบความสำเร็จมากนัก ทั้งยังเป็นงานในเชิงประชาสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม งานด้านการสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสและส่งเสริมสิทธิสตรี จะยังคงเป็นงานหลักของแทมมี่ต่อไป ตามที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า "บทเรียนจากชีวิตในกองทัพสอนฉันว่า อย่าทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งในสมรภูมิรบและในประเทศนี้ อย่าต้องให้ใครไปเสี่ยงอันตราย โดยไม่เข้าใจถึงต้นทุนความเสียหายที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน"

ที่มา: bbc

ไม่มีความคิดเห็น